ประวัติความเป็นมา สมาคมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (ประเทศไทย)

ชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)ก่อตั้งขึ้นพร้อมๆกับการก่อตั้งของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย  ถือเป็นชมรมฯที่เป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งของ “วิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย”  การเขียนประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)จึงจำเป็นต้องเขียนไปพร้อมๆ กับประวัติการก่อตั้งราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยซึ่งก่อกำเนิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มแพทย์ที่มีความสนใจร่วมกันทางด้านศัลยกรรมในประเทศไทย

การเขียนประวัติความเป็นมาทั้งของชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)และของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้มิได้เขียนตำแหน่งวิชาการของอาจารย์อาวุโสที่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อตั้งองค์กรทั้งสอง  ได้เขียนคำนำหน้าชื่อทุกท่านว่า “นายแพทย์” เท่านั้น  ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะเป็นการลดทอนเกียรติภูมิของอาจารย์อาวุโส  แต่เป็นเพราะหลักฐานต่างๆที่มีบันทึกไว้ล้วนแต่เขียนคำนำหน้าชื่อของอาจารย์อาวุโสทุกท่านว่า “นายแพทย์”  ยกเว้นแต่ท่านที่มียศทางราชการทหารที่ปรากฏยศนำหน้าชื่อ  เป็นการยากลำบากที่จะสืบค้นย้อนหลังไปร่วม 40-50 ปีเพื่อค้นหาตำแหน่งวิชาการของท่านอาจารย์อาวุโสทุกท่านในขณะนั้น  การจะให้เกียรติอาจารย์อาวุโสทุกท่านโดยการใส่คำนำหน้าชื่อว่า “ศาสตราจารย์” หมดทุกท่านก็จะมีคนโต้แย้งว่าอาจารย์อาวุโสบางท่านไม่ได้เป็นศาสตราจารย์  ในบางครั้งที่หลักฐานที่ค้นได้ปรากฏแน่ชัดถึงตำแหน่งวิชาการของท่านผู้เกี่ยวข้อง(เช่นนายกแพทยสภา)ก็จะเขียนระบุตำแหน่งวิชาการไว้ให้

วิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

“…การจัดตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์นั้นก็เพื่อให้เมืองไทยมีวิทยาลัยของตนเองซึ่งต้องมีลักษณะเฉพาะของคนไทย  เป็นผู้แทนศัลยแพทย์ไทยในต่างประเทศ  มีความอิสรเสรีภาพ   มีศัลยแพทย์ไทยเป็นผู้ดำเนินการ…” (ศ.นพ.อุดม  โปษะกฤษณะ  ประธานวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยคนแรก)

แม้ว่าประเทศไทยได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์และผลิตแพทย์ออกไปรับใช้สังคมมานาน  แต่การฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางยังไม่เกิดขึ้น  ในระยะแรกๆแพทย์ไทยเรียนรู้จากแพทย์เฉพาะทางชาวต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานในประเทศไทยและได้หาโอกาสไปศึกษาเพิ่มเติมยังต่างประเทศ

จากการริเริ่มและชักนำของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก “พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย”   มูลมิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ในประเทศไทยได้ช่วยให้แพทย์ไทยได้ไปศึกษาและฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง ณ.ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ  เมื่อศัลยแพทย์เหล่านี้เดินทางกลับมายังประเทศไทยก็ได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์สู่แพทย์รุ่นหลังแต่ยังไม่มีการฝึกอบรมเป็นแบบแผนที่ชัดเจน  บรรดาศัลยแพทย์ผู้ได้ผ่านการศึกษาฝึกอบรมและดูงานในต่างประเทศเหล่านี้เมื่อกลับมาปฏิบัติงานในประเทศไทยจะต้องสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญต่อกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข  เพื่อให้ได้รับการรับรองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางศัลยศาสตร์  โดยมีคณะอนุกรรมการสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบการสอบ

ระยะต่อมาคณะอนุกรรมการสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ได้มีความเห็นว่าประเทศไทยควรจะได้จัดให้มีการฝึกอบรมด้านศัลยศาสตร์ขึ้นเองให้เป็นที่รับรองโดยทั่วไปและได้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมสาขาศัลยศาสตร์ขึ้นสำเร็จในปี พ.ศ.2515  กำหนดให้ใช้ระยะเวลาในการศึกษาและฝึกอบรม 3 ปี  โดยพิจารณาว่าเหมาะสมและแก้ปัญหาการขาดแคลนศัลยแพทย์ในประเทศไทยในสมัยนั้น

27 กรกฎาคม พ.ศ.2515  คณะอนุกรรมการสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ได้ประชุมกัน ณ.ตึกอำนวยการ  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  มีคณะอนุกรรมการฯเข้าร่วมประชุม 20 ท่าน  ได้มีการพิจารณาถึงการจัดตั้งสมาคมของศัลยแพทย์และมีมติเอกฉันท์ให้ก่อตั้งองค์กรของศัลยแพทย์ในรูปแบบวิทยาลัยที่อยู่ภายใต้แพทยสภา  การจัดตั้งให้อยู่ในกรอบของแพทยสภาก็เพื่อทำให้วิทยาลัยที่จะจัดตั้งขึ้นมีฐานะเป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ทุกแขนงในขณะนั้นซึ่งมีรวม 47 ท่านเป็นกรรมการริเริ่มในการก่อตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย  ในกรรมการริเริ่ม 47 ท่านนี้มีนายแพทย์เฉลี่ย วัชรพุกก์เป็นตัวแทนของกลุ่มศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

29 พฤศจิกายน พ.ศ.2515  กรรมการริเริ่มมีมติให้นำร่างกฎข้อบังคับของวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยเสนอต่อแพทยสภาเพื่อดำเนินการก่อตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

12 มีนาคม พ.ศ.2516   กรรมการริเริ่มได้พิจารณาแก้ไขร่างกฎข้อบังคับของวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยตามข้อเสนอของแพทยสภาโดยแพทยสภาเสนอว่าจะต้องมีรายชื่อสมาชิกก่อตั้งจำนวนหนึ่งที่นอกเหนือจากกรรมการริเริ่ม 47 ท่านเพื่อเป็น “กลุ่มผู้เริ่มการจัดตั้งวิทยาลัย”  ครั้งนั้นกรรมการริเริ่มมีมติเลือกสมาชิกก่อตั้งจำนวน 100 ท่านซึ่งล้วนเป็นศัลยแพทย์ที่เป็นที่นับถือในวงการศัลยแพทย์และวงการแพทย์แต่เมื่อถึงเวลาเสนอจริงต่อแพทยสภาได้เสนอรายชื่อ “กลุ่มผู้เริ่มการจัดตั้งวิทยาลัย” 121 ท่านเนื่องจากผลการลงคะแนนผู้ได้ลำดับที่ 100 มีคะแนนเท่ากันจำนวนมาก

15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2517  มีการประชุมครั้งแรกของกรรมการริเริ่มกับกลุ่มผู้เริ่มการจัดตั้งวิทยาลัยที่ห้องประชุมแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่  ที่ประชุมได้รับรองรายชื่อสมาชิกก่อตั้งที่ตอบรับมารวมทั้งหมด 116 ท่านและได้เลือกตั้งกรรมการบริหารชั่วคราวเสนอต่อแพทยสภา  การพิจารณาของแพทยสภายืดเยื้อเป็นเวลา 2 ปี  มีการสอบถามทบทวนความเข้าใจหลายครั้งระหว่างแพทยสภากับคณะกรรมการริเริ่ม

12 พฤษภาคม พ.ศ.2518  ศ.นพ.ประกอบ ตู้จินดา นายกแพทยสภาในสมัยนั้นได้ลงนามประกาศข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย  ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 92 ตอนที่ 99 วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2518 หน้า 1-9 (ฉบับพิเศษ)และได้แต่งตั้งคณะผู้บริหารชั่วคราวเพื่อดำเนินการเลือกตั้งคณะผู้บริหารวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยต่อไป 

รายนามคณะผู้บริหารชั่วคราวในครั้งนั้นมีดังนี้

ในครั้งนั้นวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยมีสมาชิกสามัญเพิ่มเป็น 299 คน  ผลการเลือกตั้งคณะผู้บริหารวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยชุดที่ 1 (วาระ 2518-2520) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2518 มีดังนี้

ถือได้ว่ากลุ่มศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนักเป็นกลุ่มร่วมก่อตั้ง “วิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย”

ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

คณะผู้บริหารวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยชุดที่ 1 ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการเพื่อให้วิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์และให้ได้รับพระราชทานนาม “ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย” โดยมุ่งยกระดับมาตรฐานด้านวิชาการศัลยศาสตร์และการบริการทางศัลยกรรม  ได้ก่อตั้งโครงการศัลยแพทย์อาสาเพื่อช่วยเหลือประชากรผู้ยากไร้ในท้องถิ่นทุรกันดาร  ได้ประกาศโครงการศัลยแพทย์อาสายามฉุกเฉินของวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2520

วิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย” ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2525

ชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)

ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.ใดเพราะชมรมคือ “กลุ่มคนที่มีความสนใจและเป้าประสงค์ร่วมกัน” การก่อตั้งชมรมฯไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องจดทะเบียนและไม่ถือเป็นนิติบุคคล  มีแต่ข้อแนะนำว่าควรจะมีระเบียบข้อบังคับของชมรมฯ  มีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารตามระเบียบข้อบังคับ  มีการรับและมีทะเบียนสมาชิก  โดยกฎหมายชมรมฯจึงสามารถก่อตั้งเมื่อไรก็ได้  ถ้ายึดหลักนี้สามารถถือได้ว่าชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)ก่อตั้งมาก่อนการตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยโดยอาศัยหลักฐานว่ามีตัวแทนกลุ่มศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนักร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยรวมถึงมีการสอบเพื่ออนุมัติบัตรสาขาศัลยศาสตร์ทวารหนัก(ชื่อในสมัยนั้น)มาก่อนการก่อตั้งวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย

หลักฐานที่มีอยู่ ณ.ปัจจุบันพบว่าชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)มี “ข้อบังคับชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)” ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2540  ชี้บ่งว่าชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)ต้องก่อตั้งก่อนปี พ.ศ.2540

แต่เดิมประเทศไทยมีเพียงการสอบเพื่อ “อนุมัติบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ทวารหนัก”(ชื่อในสมัยนั้น)  การเปิดสถาบันฝึกอบรมเพื่อหนังสือ “วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก” ในประเทศไทยเกิดขึ้นครั้งแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ.2544  โดยครั้งนั้นมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมรุ่นแรก 3 คน (เข้ารับการฝึกอบรม พ.ศ.2544 และจบการฝึกอบรมในปี พ.ศ. 2545, หลักสูตร 1 ปี)คือนายแพทย์ต้น คงเป็นสุข(วุฒิบัตรฯ), นายแพทย์ธีรสันต์ ตันติเตมิท(อนุมัติบัตรฯ) และนายแพทย์ยงสรร วงศ์วิวัฒน์เสรี(อนุมัติบัตรฯ)  สาเหตุที่ฝึกอบรมพร้อมกัน  หลักสูตรเดียวกัน  ระยะเวลาฝึกอบรมเท่ากัน  แต่หนังสือรับรองต่างกันเป็นเพราะศักยภาพการฝึกอบรมของจุฬาฯในสมัยนั้นมีเพียงตำแหน่งเดียวจึงต้องใช้วิธีจับสลากว่าใครจะเข้าสอบเพื่อหนังสือวุฒิบัตรฯ ที่เหลือจึงเป็นหนังสืออนุมัติบัตรฯ

ชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)มีการเปิดบัญชีในนามชมรมฯเล่มแรกเป็นบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด(มหาชน) สาขารามาธิบดี  เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2545  เพื่อเก็บรักษารายได้ของชมรมฯจากการจัดประชุมวิชาการ

ทำเนียบประธานชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย)

นับถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2561  ชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก(ประเทศไทย) มีสมาชิก 200 คน  มีผู้ได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมีผู้ได้รับอนุมัติบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 75 คน

ในปี พ.ศ.2566 – 2567 ทางชมรมฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดย เปลี่ยนจากชมรมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (ประเทศไทย) เป็นสมาคมศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (ประเทศไทย) โดยมีการจัดตั้งสมาคมฯ ในวันที่ 25 มกราคม 2567 โดยมีคณะกรรมการจัดตั้งดังนี้